บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งจากการศึกษาและวิเคราะห์งานเขียนของ อาจารย์ อัตถนิช โภคทรัพย์
อมนุษย์ จากความหมายของคนโบราณ คือ สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างอย่างมนุษย์แต่พฤติกรรมไม่ใช่มนุษย์ อมนุษย์นี้รวมถึง เทวดา ซึ่งมีค่าของกุศล(+)สูงมากด้วย
จากภาพ คือ แผนภูมิ(อย่างหยาบ)ของเขาพระสุเมรุ โดยแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนเหนือมหาสมุทรสีทันดร และ ส่วนใต้มหาสมุทรสีทันดร ส่วนเหนือมหาสมุทรสีทันดร คือ ส่วนที่มีค่าเป็นกุศล(+) และ ส่วนใต้มหาสมุทรสีทันดร คือ ส่วนที่มีค่าเป็นอกุศล(-) ตำราระบุว่า ชมพูทวีปตั้งอยู่เหนือมหาสมุทรสีทันดรประมาณ๕๐๐โยชน์ อำนาจของกุศล(+)จึงมีโอกาสโน้มนำสูงกว่าอกุศล(-)
กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือมหาสมุทรสีทันดร คือกลุ่มของ มนุษย์/สัตว์หิมพานต์(บางชนิด) และกลุ่มเทวดาตั้งแต่เขาตรีกูฏบรรพตขึ้นไป
กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้มหาสมุทรสีทันดร คือกลุ่มของสัตว์หิมพานต์(บางชนิด) กลุ่มอสุรกาย กลุ่มเปรต(บางชนิดอยู่ในป่าหิมพานต์) และกลุ่มสัตว์นรก
กลุ่มของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีค่าพฤติกรรมแตกต่างกัน ตามค่าของกุศล-อกุศล โดยแบ่งค่าดังนี้
๑.เทวดาหรือเทวา(ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป)-สิ่งมีชีวิตในมิติที่๔(มิติของกาลเวลาและอวกาศ) มีร่างกายเป็นทิพย์มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า(ร่างกายซ้อนทับอยู่ในมิติของกาลเวลาและอวกาศแทรกอยู่ทั่วไปในโลก๓มิติ) มีค่าความเข้มข้นของกุศล(+)สูงมาก ไม่มีค่าอกุศล(-)เจือปน จึงมีร่างเป็นกายทิพย์ที่บริสุทธิ์(แต่ค่าอกุศลยังมีโอกาสแทรกแซงได้อยู่) พฤติกรรมของ(มนุษย์ที่เป็น)เทวดา คือ ความมีคุณธรรม มีส่วนรวมเป็นที่ตั้ง (มนุษย์ที่เป็น)เทวดาจะสามารถสร้างประโยชน์ให้คนในสังคมได้เท่าเทียมกันทั้งหมด
พฤติกรรมของ(มนุษย์ที่เป็น)เทวดา มี๗ข้อ คือ
๑.เลี้ยงมารดาบิดา
๒.อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
๓.พูดจาอ่อนหวาน
๔.ไม่พูดจาส่อเสียด
๕.ยินดีในการบริจาคทาน
๒.อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
๓.พูดจาอ่อนหวาน
๔.ไม่พูดจาส่อเสียด
๕.ยินดีในการบริจาคทาน
๖.พูดคำสัตย์
๗.ไม่โกรธ
๗.ไม่โกรธ
๒.เทวดา(ชั้นจาตุมหาราชิกา)-สิ่งมีชีวิตในมิติที่๔ แต่มีร่างกายเป็นทิพย์แต่ไม่บริสุทธิ์เท่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในชั้นนี้ เช่น นาค และ ครุฑ
นาค-สถานภาพซ้อนทับระหว่างเทวาและเดรัจฉาน(งูใหญ่)มีร่างกายทั้งในโลก๔มิติและร่างกายทั้งในโลก๓มิติ คือ มีทั้งกายทิพย์และกายหยาบ(อยู่ได้ทั้ง๒โลก) นาคนั้นถึงจะเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา แต่ไม่มีอาหารทิพย์ไว้กินแบบเทวดา บางครั้งจึงแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตในโลก๓มิติ เช่น งู เพื่อหากบ เขียด กินเป็นอาหาร
ครุฑ-สถานภาพซ้อนทับระหว่างเทวาและเดรัจฉาน(นกใหญ่)มีรูปแบบชีวิตคล้ายนาค แต่ครุฑส่วนใหญ่กินนาคเป็นอาหารจึงไม่จำเป็นต้องแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตในโลก๓มิติ เพื่อหาอาหาร
อมนุษย์ครึ่งเทวดานี้ เกิดจากผลบุญที่ไม่สม่ำเสมอจากการทำบุญโดยไม่ตั้งใจ ถอดความได้ว่า ผลบุญที่เป็นกุศล(ค่า+) มีปริมาณสัมพัทธ์กันกับผลบาปที่เป็นอกุศล(ค่า-)ในแนวโน้มที่ค่ากุศล(ค่า+)มีอำนาจโน้มนำสูงกว่า อกุศลมาจากกิเลสมี๓ประการ คือ ราคะ โทสะ โมหะ กลุ่มเดรัจฉานมี ราคะ โทสะ โมหะ มากน้อยขึ้นอยู่กับเดรัจฉานแต่ละชนิดซึ่งเกิดจากการผสมของ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดเป็นพฤติกรรมของอมนุษย์กลุ่มเดรัจฉานที่หลากหลาย(นาค และ ครุฑ จัดเป็นสัตว์หิมพานต์ด้วย)
๓.มนุษย์-พฤติกรรมมีทั้งกุศล(+) อกุศล(-) มีส่วนรวมเป็นที่ตั้งแต่ไม่เท่ากับเทวดา คือ สามารถสร้างประโยชน์ให้คนในสังคมได้แต่ไม่เท่าเทียมกันทั้งหมดแต่ก็ได้ส่วนใหญ่ในสังคม
๔.อสุรกาย-สิ่งมีชีวิตในมิติที่๔ที่ไม่บริสุทธิ์ มีค่าอกุศล(-)สูงมากกว่ากุศล(+) มีส่วนตนเป็นที่ตั้ง ขี้อิจฉา ริษยา เป็นสถานภาพซ้อนทับระหว่างเทวาและเปรต(ความอยาก) อาศัยอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ เป็นเทวดาด้านมืด(เทพริษยา) พฤติกรรมตรงข้ามกับเทวดาอย่างชัดเจน
พฤติกรรมของ(มนุษย์ที่เป็น)อสุรกาย มี๗ข้อ คือ
๑.ไม่เลี้ยงมารดาบิดา
๒.ไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
๓.ไม่พูดจาอ่อนหวาน
๔.พูดจาส่อเสียด
๕.ไม่ยินดีในการบริจาคทาน
๒.ไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
๓.ไม่พูดจาอ่อนหวาน
๔.พูดจาส่อเสียด
๕.ไม่ยินดีในการบริจาคทาน
๖.ไม่พูดคำสัตย์
๗.มักโกรธ
๗.มักโกรธ
๕.เปรต-สิ่งมีชีวิตในมิติที่๔ที่ไม่บริสุทธิ์ มีค่าอกุศล(-)มากกว่ากุศล(+)เกือบสิ้นเชิง เห็นแก่ตัว มีส่วนตนเป็นที่ตั้ง(ตัวกู ของกู และของพวกกู) เต็มไปด้วยความอยาก(อยากมี อยากได้ อยากเป็น)ที่ไม่มีวันเติมเต็ม
๖.สัตว์นรก-สิ่งมีชีวิตในมิติที่๔ที่ไม่บริสุทธิ์ มีค่าอกุศล(-)มากกว่ากุศล(+)อย่างสิ้นเชิง สร้างความเดือดร้อนให้คนในสังคม และ ส่วนรวม
ตราบใดที่ยังวนเวียนสังสารวัฏ จิตและพฤติกรรมมนุษย์จะเลื่อนขึ้นลงระหว่าง กุศล(+) อกุศล(-)ได้ตลอดเวลา(เป็นตัวอะไรก็ได้)
สัตว์หิมพานต์ในด้านสังคมศาสตร์
สัตว์หิมพานต์ในสายตาของคนโบราณอยู่ปะปนกับมนุษย์ทั่วไปในป่าหิมพานต์ เนื่องจาก ป่าหิมพานต์ในตำราระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นส่วนหนึ่งของชมพูทวีป สูงพ้นมหาสมุทรสีทันดร ๕๐๐ โยชน์ มีเนื้อที่ ๖๐๐ โยชน์ เป็นที่อยู่มนุษย์และสัตว์ใหญ่น้อย ๓๐๐ โยชน์ เป็นที่อยู่อมนุษย์และสัตว์ใหญ่น้อย ๓๐๐ โยชน์ มีมหาสมุทรสีทันดรล้อมรอบ ๔๐๐ โยชน์ คิดเป็นอัตราส่วน ๓๐๐: ๓๐๐: ๔๐๐ รวมกันได้ ๑๐๐๐ ส่วน
ฉะนั้น ผู้ที่ปฏิบัติตนไม่สม่ำเสมอใน กุศล และ อกุศล คือผู้ที่ยังเป็นชาวป่าหิมพานต์อยู่นั่นเอง
๑.นาค(naga) เป็นอมนุษย์โหงวเฮ้งหน้ามู่ทู่ ขี้โมโห(ขี้โกรธ โกรธง่าย หายง่าย) ชอบร้องรำทำเพลง (เต้น ดิ้น เลื้อย)ในจังหวะรุนแรง(คงประมาณ เฮฟวี่ เมทัล) ชายเรียกนาคา (naga) หญิงเรียกนาคี(nagi) อมนุษย์นี้อาจดื่มสุราบ้างเล็กน้อย(พอครึ้ม) คนโบราณสร้างค่าพฤติกรรมและความหมายของนาคาและนาคี ไว้ต่างกัน คือ นาคา บุรุษที่กำเนิดในสังคมชนบทที่ถูกอมนุษย์อย่าง ครุฑ และ นรสิงห์เบียดเบียน นาคี สตรีที่กำเนิดในสังคมชนบทตลอดจนจารีต วิถีชีวิตแบบชนบทที่ถูกสังคมเมืองทำลายล้าง ยังมี นาคเฝ้าทรัพย์และนาคเฝ้าคัมภีร์ ที่ไม่สามารถไปไหนได้เพราะต้องเฝ้าปกป้องของสำคัญ นาคเฝ้าทรัพย์นั้นมักเห็นเวลาเกิดภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำท่วมเพราะไปไหนไม่ได้กลัวของหาย(ที่รื้อบิ๊กแบ็กก็น่าจะใช่)ผิดกับนาคเฝ้าคัมภีร์ที่มักหลบซ่อนรวบรวมและศึกษาคัมภีร์ต่างๆอย่างไม่เปิดเผยรึเปิดเผยไม่ได้เพราะคุยกับใครไม่ค่อยรู้เรื่อง ธรรมดานาคมีพิษและโทสะรุนแรง นาคและมนุษย์จึงพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะเวลามีอะไรมากระทบสิ่งที่เฝ้า ในบางกรณีนาคเฝ้าทรัพย์และนาคเฝ้าคัมภีร์จะสัมพันธ์กันถ้านาคนั้นเฝ้าทรัพย์ที่สร้างจากคัมภีร์ มีข้อมูลที่แสดงว่า กลุ่มกอร์กอน(Gorgon)หรือเก็งกองอาจเกี่ยวข้องกับนาคในเรื่องการใช้พิษทำร้ายผู้อื่น(กลุ่มกอร์กอนทำร้ายผู้อื่นโดยการเพ่งมองเพื่อให้แข็งเป็นหินเหมือนนาคที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน)
พิษนาคมี๔ชนิด คือ
๑.กัฏฐมุข พิษซึ่งทำให้แข็งไปหมดทั้วตัว ยุติการทำงานของระบบทั้งหมดในร่างกาย(กายที่ถูกงูกัฏฐมุขะกัด ย่อมแข็งกระด้าง)
๒.ปูติมุข พิษซึ่งทำให้ธาตุน้ำกำเริบ คือโดนแล้วจะบวมพอง และเน่าเปื่อย(กายที่ถูกงูปูติมุขะกัด ย่อมเป็นของเปื่อยเน่า)
๓.อัคคิมุข พิษซึ่งทำให้ธาตุไฟกำเริบ เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน(กายที่ถูกงูอัคคิมุขะกัด ย่อมเร่าร้อนพร้อม)
๔.สัตถมุข พิษรวดเร็วรุนดั่งต้องอสนีบาต อธิบายได้ว่าเหมือนโดนฟ้าผ่า(กายที่ถูกงูสัตถมุขะกัด ย่อมถูกตัดขาด)
(พิษนี้คือธาตุ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม)
๑.กัฏฐมุข พิษซึ่งทำให้แข็งไปหมดทั้วตัว ยุติการทำงานของระบบทั้งหมดในร่างกาย(กายที่ถูกงูกัฏฐมุขะกัด ย่อมแข็งกระด้าง)
๒.ปูติมุข พิษซึ่งทำให้ธาตุน้ำกำเริบ คือโดนแล้วจะบวมพอง และเน่าเปื่อย(กายที่ถูกงูปูติมุขะกัด ย่อมเป็นของเปื่อยเน่า)
๓.อัคคิมุข พิษซึ่งทำให้ธาตุไฟกำเริบ เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน(กายที่ถูกงูอัคคิมุขะกัด ย่อมเร่าร้อนพร้อม)
๔.สัตถมุข พิษรวดเร็วรุนดั่งต้องอสนีบาต อธิบายได้ว่าเหมือนโดนฟ้าผ่า(กายที่ถูกงูสัตถมุขะกัด ย่อมถูกตัดขาด)
(พิษนี้คือธาตุ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม)
วิธีการทำร้ายด้วยพิษมี๔ชนิด คือ
๑.ทัฏฐะวิสะ เมื่อขบกัดแล้วจะเกิดพิษซ่านไปทั่วร่างกาย
๒.ทิฏฐะวิสะ ใช้วิธีมองแล้วพ่นพิษออกทางตา
๓.ผุฏฐะวิสะ ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษแผ่ซ่าน
๔.วาตาวิสะ มีพิษที่กาย จะแผ่พิษจากตัว
ลักษณะการทำร้ายของพิษมี๔ชนิด คือ
๑.อาตตะวิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ซ่านออกไปอย่างรวดเร็วแต่ไม่รุนแรง
๒.โฆระวิสนะอาคตะวิสะ มีพิษรุนแรงมาก แต่พิษนั้นแผ่ออกไปช้าๆ
๓.อาคตวิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก
๔.นะอาควิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ช้าๆและไม่รุนแรง
ความพิโรธของพญานาค คือ ปรากฏการณ์ น้ำท่วม น้ำหลาก และ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ที่คนโบราณระบุชัดเจนว่าใหญ่และรุนแรงขนาดกลืนกินอาณาจักร หรือ ล่มเมืองได้อย่างในตำนานแคว้นโยนก(แคว้นสิงหนวัติ)กับปลาไหลเผือก(ขนาดยักษ์) หรือ นครเอกชะทีตา(ผาแดง-นางไอ่ กับกระรอกเผือก)ทั้ง๒อาณาจักรนี้ คนโบราณระบุชัดเจนว่าเช่นกันว่า“พระยานาค”เป็นผู้(ออกแบบ)สร้างขึ้นมา
๒.ครุฑ(garuda) ครุฑนั้นช่างเจรจา ชอบกินงู(หรือนาค) เป็นอมนุษย์โหงวเฮ้งปากแหลม สัญลักษณ์ของครุฑสำหรับคนโบราณคือ สัญลักษณ์ของความมั่งคั่งคาถาบูชาครุฑที่คนโบราณออกแบบไว้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเงินทอง เป็นคาถาเรียกทรัพย์ ฉะนั้นความหมายของครุฑค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นอมนุษย์ที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ(นายทุน) เพราะความหมายของครุฑสัมพันธ์กับความมั่งคั่ง(ทางเศรษฐกิจ)สำหรับผู้บูชาและเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่งคั่ง(ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ)ของสังคมที่บูชาด้วย ที่อยู่ของครุฑอยู่บนยอดต้นงิ้ว เป็นอมนุษย์ที่อยู่สูงมากภัยใดๆจากเบื้องล่างไม่อาจเอื้อมถึงได้เพราะต้นงิ้วปีนยากและยังมีหนามแหลม ใครที่คิดทำร้ายครุฑในที่อยู่จะบาดเจ็บเสียเอง(อาจเพราะฟ้องร้องแล้วโดนฟ้องกลับ)ครุฑชอบกินนาคแต่ไม่ใช่ทุกตัวจะกินนาค (ก็คงจริงถ้าจะพัฒนาเศรษฐกิจอย่างง่ายๆเร็วๆโลภๆก็คงต้องเบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมมนุษย์ในชุมชนเอา)
๓.นรสิงห์(narasiha) ชายเรียกนรสีห์(narasiha นร/นรี/นารี แปลว่า มนุษย์) หญิงเรียกอัปสรสีห์(apsara อัปสร แปลว่า นางฟ้า) พฤติกรรมของกลุ่มนรสิงห์คล้ายกับแพนของกรีก นรสิงห์เฉลียวฉลาด เจ้าเล่ห์ เย่อหยิ่ง และชอบใช้กำลัง มีเท้า๒แบบ คือ เท้ากีบ และ เท้าเล็บ เดรัจฉานจะหากินโดยที่ท้องจะขนานกับพื้นโลก(หากินแนวนอน)คือหากินทางขวาง แต่พวกมนุษย์ครึ่งเดรัจฉานเหล่านี้จะใช้ปัญญาในทางขวาง(ผลประโยชน์ส่วนรวม) ทำเพื่อเรื่องกินและกาม(ผลประโยชน์ส่วนรวม)คือ กิน นอน และสืบพันธุ์ นรสิงห์มักอาศัยรวมกันตั้งแต่สองตัวไปจนถึงฝูงใหญ่เพื่อออกล่าหรือผสมพันธุ์ นรสิงห์กินทั้งพืช ทั้งสัตว์ รวมถึงซากสัตว์(ดูจากลักษณะเท้า) ตามลักษณะนรสิงห์มีทั้งเท้ากีบและเท้าเล็บ จะสามารถจำแนกพฤติกรรมได้เป็น๒ชนิด กลุ่มนรสิงห์เท้าเล็บมีวาจาเยี่ยงราชสีห์คำรามที่สามารถกำราบผู้ที่อยู่ต่ำกว่าตนได้ทุกชนิด และมักขู่เอากับกลุ่มนรสิงห์เท้ากีบในบางโอกาส สมกับลักษณะทางกายภาพที่เป็นราชสีห์ถึง๕๐% ในขณะที่กลุ่มนรสิงห์เท้ากีบมักอยู่กับความกลัวและใช้ชีวิตหลบซ่อน กลางวันเที่ยวป่า กลางคืนเที่ยวแจ้ง คล้ายๆพวกตัวเนื้อ เช่น เก้ง กวาง ละมั่ง เลียงผา ฯลฯ(พอๆกับวัยรุ่นสมัยนี้ไม่สว่างไม่ถึงบ้าน) เพราะกลัวถูกกลุ่มนรสิงห์เท้าเล็บไล่ล่า แต่บางครั้งกลุ่มนรสิงห์เท้ากีบจะขอรวมฝูงกับกลุ่มนรสิงห์เท้าเล็บเพื่อรับใช้ ทำตามคำสั่งเพื่ออยู่รอด แต่อาจไม่รอดเพราะนรสิงห์อาจกินพวกที่อ่อนแอกว่า(ทั้งเท้ากีบและเท้าเล็บ) หรือลูก(ที่รัก)ตนเองอย่างหน้าตาเฉย ในบางครั้งนรสิงห์อาจใช้กำลังแบบโง่ๆ ไม่รู้จักประมาณตน(เช่น ปล้นมาเฟีย) หรือหยิ่งจนเกินจะนอบน้อมผู้ใด(เช่น เหยียบเท้านักเลงแล้วไม่ยอมขอโทษ) บางครั้งจะยกพวกตีกันด้วย จึงมักไม่ได้ตายดีนัก
เท้ากีบ เท้าเล็บ
๔.ยักษ์(yaksha) บุคลิกและพฤติกรรมของยักษ์คือการบันดาลโทสะอย่างเกรี้ยวกราด เป็นอมนุษย์โหงวเฮ้งตาโต ตัวดำ(เขียวคล้ำถึงดำ) กายยักษ์(ทั่วไป)มีสีเขียว(โกรธจนตัวเขียว) เป็นพวกบ้าอำนาจ สกปรก กักขฬะ ก้าวร้าว อาจอยู่ในตระกูลสูง ชอบแสดงอำนาจ และอาละวาด หน้าตาของยักษ์มี๔แบบ สร้างจากองค์ประกอบของตา๒แบบ และ ปาก๒แบบ คือ ตาโพลง ตาจระเข้ ปากขบ ปากแสยะ ลักษณะหน้าตาของยักษ์มีลักษณะคล้ายเทพ(ยักษ์)เฝ้าประตู(อะเงียว-อุนเงียว)ของญี่ปุ่น ชายเรียก ยักษา(yaksha) หญิงเรียก ยักษี(yakshi) ยักษ์เป็นพวกชอบเฝ้ามีฤทธิ์อำนาจในการแย่งชิงของผู้อื่นมาครองแล้วตั้งตนเป็น”ผู้เฝ้า”
ลักษณะตา และ ปากของยักษ์หมายถึงความโกรธ ๔ ลักษณะ(คล้ายลักษณะการทำร้ายของพิษนาค๔ชนิด)
๑.ตาโพลง ปากขบ-โกรธง่าย หายยาก
๒.ตาโพลง ปากแสยะ-โกรธง่าย หายง่าย
๓.ตาจระเข้ ปากขบ-โกรธยาก หายยาก
๔.ตาจระเข้ ปากแสยะ-โกรธยาก หายง่าย
๔.รากษส(rakshasa)บุคลิกและพฤติกรรมคล้ายยักษ์ แต่รากษสอยู่ในกลุ่ม กุมภัณฑ์และผีเสื้อน้ำเป็นอมนุษย์ขี้โกรธ เป็นพวกชอบรักษามีฤทธิ์อำนาจในการแย่งชิงของผู้อื่นมาครองแล้วตั้งตนเป็น “ผู้รักษา” ชายเรียกรากษส(rakshasa) หญิงเรียกรากษสี(rakshasi)
ผีเสื้อน้ำนั้นสิง(อาศัย)อยู่ในน้ำทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม(โดยใช้ฤทธิ์อำนาจแย่งชิงแหล่งน้ำนั้นมา) มี๒กลุ่ม คือ ผีเสื้อน้ำ(จืด)และผีเสื้อสมุทร(น้ำเค็ม)เป็นพวกชอบผูกขาดแหล่งน้ำ(เครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆด้วย)แต่จะหากินในวงจำกัดคือ แหล่งน้ำที่ตนเองอยู่เท่านั้น ในชาดกเรื่อง พญาวานรกับต้นอ้อ แสดงว่าผีเสื้อน้ำไม่สามารถจับเหยื่อที่ไม่แตะต้องน้ำได้จึงหลอกล่อให้เหล่าวานรลงน้ำเพราะเขตนั้นไม่มีแหล่งน้ำอื่นนอกจากของตน(ผูกขาด)แต่ไม่สำเร็จ ต่างกับเปรตบางตระกูลที่กินไม่เลือก
กุมภัณฑ์บุคลิกและพฤติกรรมคล้ายยักษ์ แต่กุมภัณฑ์นั้นชอบยืน เดิน นั่ง(เห็นบ่อยๆบนรถเมล์) นอน “ถ่างขา”เพราะ ต้องแบกอัณฑะ กุมภัณฑ์ แปลว่า ผู้มีอัณฑะใหญ่(กุมโภ แปลว่า หม้อ+อัณฑะ แปลว่า ไข่)รูปปั้นตามโบราณสถานต่างๆที่ยืนถ่างขา หรือ นักเล่นโขน/เล่นหนังใหญ่ที่ยืนถ่างขา ก็คือลักษณะการเคลื่อนไหวของกุมภัณฑ์นั่นเอง
๕.นารีผล(nariphala)อมนุษย์ที่เกิดแบบ“โอปปาติกะ”เพียงอย่างเดีนว คือ เป็นเองโดยไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่หรือบุพพการี(หรือพ่อแม่ไม่เลี้ยง) มีรูปลักษณ์ประดุจสาวแรกรุ่นอายุ๑๖ปี ปัจจุบันพบได้ทั่วไป ตาม ผับ เธค หรือตาม(ใต้)ต้นไม้(ตั้งแต่สมัยก่อน)อาจรวมถึงโคนเสาไฟด้วย เดี๋ยวนี้เจอยาเร่งเข้าไป๑๑-๑๒ก็หง่อมคาต้นแล้ว
๖.กินรี(kinari)ชายเรียกกินนร(kinnara) หญิงเรียกกินรี(kinari)อมนุษย์ครึ่งมนุษย์ครึ่งหงส์ สง่างาม และค่อนข้างหยิ่ง จะไม่สมาคมกับชนชั้นที่ต่ำกว่า เช่น มนุษย์ แต่จะสมาคมกับชนชั้นที่สูงกว่าอย่างเทวดา เป็นต้น
๗.เทพอัศวิน(tebaasavin)อมนุษย์ครึ่งมนุษย์ครึ่งม้า ชายเรียกเทพอัศวิน(tebaasavin) หญิงเรียกเทพีอัศวิน(tebiasavin)อยู่ทั้งแบบเดี่ยวและรวมเป็นกลุ่ม(ฝูง) ฝูงเทพอัศวินนั้นมักปรากฏตัวเวลากลางคืนในช่วงดึก ที่มนุษย์หลับไหล ถนนปลอดรถราใดๆ ฝูงเทพอัศวินนั้นจะมาพร้อมกับเสียง(แว้นๆ)อันดังกระหึ่มทั่วท้องถนน พฤติกรรมทั่วไปคล้ายนรสิงห์ แต่มีความเร็วมากกว่า(ในบางกรณีจะมีนารีผลซ้อนท้ายด้วย)
๘.คนธรรพ์(gandharva)อมนุษย์ที่คล้ายมนุษย์ที่สุด พวกคนธรรพ์มีบ้านเมืองของตนเองอยู่ระหว่างสวรรค์ และโลกมนุษย์ และเป็นพวกมีนิสัยเป็นเจ้าชู้ มีเสน่ห์ทำให้ผู้หญิงหลงรัก คนธรรพ์มีความรู้ความสามารถในด้านดนตรีที่ดีมาก(ชอบดนตรีเป็นชีวิต) ปัจจุบันพบได้ทั่วไป ตาม ผับ เธค บ้างเล็กน้อย(เล่นดนตรีตาม ผับ เธค) ชอบฆ่ากันตายเพราะแย่งนารีผล พวกคนธรรพ์มักจะไม่รอจนนารีผลสุกดี(วัยกำลังได้ที่)ก็จะเด็ดไปแล้ว เนื่องจากมีวิธีบ่มให้แก่ทันใช้ได้(เลี้ยงต้อย) คนธรรพ์บางพวกมีชื่อเสียงในสังคมด้วย(นักร้อง นักดนตรี) ชายเรียกคนธรรพ์(gandharva) หญิงเรียกอัปสร(apsara)
คนธรรพ์แบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ
๓.คนธรรพ์ชั้นล่าง อยู่บนพื้นมนุษย์ สิงอยู่ในต้นไม้จำพวกไม้หอม
๙.วิทยาธร(bitayadhara) อมนุษย์ที่คล้ายมนุษย์ที่สุดเช่นกัน เป็นพวกที่มีศาสตร์ความรู้ที่หลากหลาย(รวมถึงดนตรีด้วย) พวกนี้เหาะได้ มีเวทมนตร์ คาถา อาคมต่างๆ วิทยาธรมีรูปร่างหลากหลาย อยู่แบบเดี่ยวก็มี อยู่เป็นหมู่เป็นกลุ่มก็มี ชอบฆ่ากันตายเพราะแย่งนารีผลเช่นกัน(วิธีบ่มนารีผลน่าจะมาจากวิทยาธรนี่เอง) ชายเรียกวิทยาธร(bitayadhara) หญิงเรียกวิทยาธรี(bitaydhri)







ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น