หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เปรตในด้านสังคมศาสตร์



เปรตในด้านสังคมศาสตร์
โดยทั่วไปเปรตมีลักษณะทางกายภาพ คือ สูงเท่าต้นตาล ท้องใหญ่เท่าภูเขาลำคอเรียว ปากเล็กเท่ารูเข็ม(พวกที่ปากเท่ารูเข็ม คือ พวกที่ไม่สามารถกินอาหารปกติตามธรรมชาติได้ กินแต่พวกอาหารสังเคราะห์ อาหารสำเร็จรูป) เสียงร้องแหลมยาวไม่สามารถฟังเป็นภาษาได้(คำพูดออกจากปากแต่ละคำมีแต่ศัพท์แสงวิชาเกิน ชาวบ้านคนธรรมดาฟังเหมือนจะรู้เรื่องแต่ก็ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ) อดอยากหิวโหยโดยความละโมบหิวกระหาย เปรตบางชนิดมีความรู้สึกว่าตนยากไร้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกมั่งคั่ง เป็นความรู้สึกขัดแย้งที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันเปรตบางชนิดเต็มไปด้วยความอยาก(อยากมี อยากได้ อยากเป็น)กินทั้งสิ่งที่ใช่และไม่ใช่อาหารเป็นพวกเอาปัญญารับใช้สนองความอยากของตน(หรือกลุ่มของตน)
๑.วันตสาตะ(VANTASATA)-ตระกูลเปรตที่อยู่ได้ด้วยเศษอาหารที่เขาเหลือคายทิ้ง(หลอกขายอาหารหมดอายุ)
๒.กุณปขาทา(KUNAPAKHADA)-ตระกูลเปรตที่หากินอยู่กับซากสัตว์ต่างๆ“เวตาล(vetala)”คือ เปรตที่เป็นใหญ่อยู่ในตระกูลกุณปขาทา โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของเวตาล คือ เวตาลนั้นเป็นวิญญาณร้ายที่วนเวียนอยู่ตามสุสาน เป็นปีศาจของบรรพชนที่ลูกหลานไม่ยอมทำพิธีศพให้(รวมถึงบรรดาอาจารย์ที่หวงวิชา)อาศัยในซากศพ(ชื่อ)ผู้อื่นชอบสิงอยู่ในป่าช้า(หากินอยู่กับซากสัตว์ต่างๆ)เวตาลมักจะปรากฏรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่มือและเท้าหันกลับไปทางด้านหลัง นัยน์ตาเป็นสีลานแกมเขียว มีเส้นผมตั้งชันทั้งศีรษะ มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายถือหอยสังข์ ขณะเมื่อมาปรากฏตัวจะนุ่งห่มเสื้อผ้าสีเขียวทั้งชุด นั่งมาบนเสลี่ยง บางคราวก็ขี่ม้า มีภูตบริวาร(บอร์ดี้การ์ด)ถือคบเพลิงแวดล้อมโดยรอบ และส่งเสียงโห่ร้องกึกก้อง เวตาลยังทำให้ผู้คนเป็นบ้า ฆ่าเด็ก และแท้งลูก แต่เวตาลยังมีข้อดี คือมันจะคอยดูแลหมู่บ้าน(เขตปกครอง)ของมันเอง(เนื่องจากเวตาลสารถปลุกชีพคนตายได้ ในปัจจุบันเราจึงอาจเห็นเวตาลในคูหาเลือกตั้ง จากรายชื่อของคนที่ตายซักสิบปีหรือหลายสิบปีที่ลุกขึ้นมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเป็น บัตรผีนั่นเอง)เวตาลช่างเจรจา ปากร้าย ปากจัด และเย่อหยิ่ง
๓.คูถขาทา(GUTHAKHADA)-ตระกูลเปรตที่หากินอยู่กับกากอุจจาระ ปัสสาวะ(คล้ายกับวันตสาตะ เจอตามกองขยะ)
๔.อัคคิชาลขาทา(AGGIJALAKHADA)-เปรตที่กินข้าวเปลือกไฟแดงเป็นอาหาร(รวมถึงเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆด้วย)มีปากอยู่เหนือกระหม่อม(หัว)มักอาศัยตามโรงสีข้าวเพราะชอบผูกขาดการค้าการส่งออกข้าว(โก่งและโกงราคา)โดยตรง(ปัจจุบันไม่ได้กินแค่ข้าวเปลือกไฟแดงและไม่ได้มีแค่ตามโรงสีข้าว)
๕.ตัณหชิตา(TANHAJITA)-พวกเปรตที่สูงเท่าต้นตาล ตัวผอม พุงโรก้นแฟบ ขอส่วนบุญมนุษย์บ่อยที่สุด! 
๖.สุนิชฌามก(SUNIJJHAMAKA)-เปรตที่มีฤทธิ์(อำนาจทางการเมืองและอิทธิพล)มาก เพ่งจะเอาของผู้อื่นอย่างไม่ถูกต้องทั้งทางกฎหมาย ศีลธรรม และเหตุผล ตัวดำ(หรือใจดำ)เหมือนอิฐถูกเผาชอบประดับแต่งตัว
๗.สัพพปากะ(SABBAPAKA)-เปรตขี้เรื้อน ตัวสูงเหมือนตัณหชิตาแต่ตัวขาวเหมือนคลุกแป้งไม่สม่ำเสมอ หน้าตาแบนราบเหมือนหน้ากระดาน ขาวโพลนไม่เห็นจมูกปาก เห็นแต่ตาที่แสงเหมือนถ่านที่ลุกแดง
๘.สูจิมุขุ(SUCIMUKHU)-เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม ท้องโตเป็นภูเขา(ต้นตำนาน“ชิงเปรต”ภาคใต้)
๙.ปัพพตังคา(PABBATANGA)-เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขาเล็บมือเล็บเท้าผมและขน(คม)เป็นหอกดาบ  ศาสตราวุธ(อำนาจทางการเมืองหรืออิทธิพลทุกรูขุมขน)เวลาเดินศาสตราวุธจะกระทบกันเป็นไฟลุกไหม้(ความเดือดร้อนให้สังคม(รวมถึงตนเอง)จากอิทธิพลทุกรูขุมขน)
๑๐.อชครังคา(AJAGARANGA)-เปรตที่มีร่างกาย(หุ่น)เรียวใหญ่ยาว และลายเหมือนงูเหลือม
๑๑.เวมานิกะ(VEMANIKA)-เปรตตระกูลเศรษฐีที่ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวันแต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน(ข้างขึ้น/ข้างแรม) หรือเสวยทุกข์๑๕วัน และ เสวยสุขในวิมาน๑๕วัน(ราว๑เดือน)เวมานิกเปรตมีแต่ฐานะ(ทางสังคม)แต่ไม่มีอำนาจทางการเมือง(กึ่งหนึ่งเป็นสัตว์นรกถูกลงทัณฑ์กึ่งหนึ่งเป็นข้าราชการนรกด้วย)วิมานอยู่ในป่าหิมพานต์(ข้างๆต้นนารีผล)พวกที่หลอกคนไปค้าประเวณีแล้วมีอาชีพบังหน้า(วิมานของเปรตคือผลจากบุญฤทธิ์กึ่งหนึ่ง(ความขาวสะอาดที่บังหน้า)แยกออกจากมนุษย์ในสังคมยากเหมือนมหิทธิกา)
๑๒.มหิทธิกา(MAHIDDHIKA)-เปรตที่มีฤทธิ์(อิทธิพลและอำนาจทางการเมือง)มากเป็นใหญ่อยู่ในเมืองเปรตในป่าหิมพานต์มีรูปอันงามเสมอด้วยเทพยดามีตำแหน่งหน้าที่ (กึ่งหนึ่งเป็นสัตว์นรกถูกลงทัณฑ์กึ่งหนึ่งเป็นข้าราชการนรกด้วย)เป็นเปรตที่ขี่ช้าง ม้า ไม่ก็นั่งเกวียน(ยานพาหนะประจำตำแหน่ง)มากอำนาจอิทธิพลในการทำให้สังคมส่วนใหญ่เดือดร้อน ชอบอยู่เหนือกฎเกณฑ์ กติกาสังคมทุกรูปแบบ คล้ายโลกันตรนรก(โลกันตร์ มาจาก โลก+อันตระ แปลว่า ระหว่าง คือ ทำตัวอยู่เหนือกฎกติกา(กฏหมาย)ของโลก)
แบ่งได้ ๔ชนชั้น
๑.กาลกัญชกาสูร(KANKANJAKASURA) คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย มีตาและปากอยู่เหนือกระหม่อม(หัว)แบบปู ใจกล้าหน้าแข็งแรง ชอบถือสากและตรี(พกพาอาวุธ)ทุกเวลาและสถานที่ แสดงถึงอำนาจ และความไม่ไว้(วาง)ใจใครตลอดเวลา(ก็พกพาอาวุธตลอด) จอมอสูรราชาของหมู่กาลกัญชกาสูร คือ อสุรินทราหู (หิวจัด กินเดือน กินตะวัน หมายถึง ชอบกำจัดความสว่าง คือปัญญาของผู้คนในสังคม)
๒.ขุปปิปาสิกะ(KHUPPIPASIKA) คือ เปรตที่มีสถานภาพหิว(ขุปปิ)และกระหาย(ปาสิกะ)ไม่สิ้นสุด(เปรตยมโลก)ตามธรรมของร่างกายผิดกับชนชั้นที่๓
๓.นิชฌามตัณหิกะ(NIJJHAMATANHIKA) คือ สถานภาพทางร่างกายไม่หิวโหย แต่จิตใจเต็มไปด้วยความโลภ ไม่รู้จักพอ มักมีแต่ความอยาก(ตัณหิกะ หมายถึง ความอยากที่แผ่ซ่านออกแล้ว)เพ่งจะเอาของผู้อื่นอย่างไม่ถูกต้องทั้งทางกฎหมาย ศีลธรรม และเหตุผล(นิชฌาม,นิชฌาน ตรงกับ เพ่งโดยความโลภ คือ อภิชฌาวิสมโลภะ)
๔.ปรทัตตูปชีวี(PARADATTUPAJIVI) คือ เป็นสถานภาพของเปรตที่อาศัยอยู่ด้วยการขอส่วนบุญของผู้อื่น เป็นที่มาของ“เปรตขอแบ่งบุญ”และ“เปรตขอส่วนบุญ”เพราะ ปร แปลว่า ผู้อื่น ทัตต แปลว่า ให้แล้ว(มาจาก”ทาน”) อุปชีวี แปลว่า การดำรงชีวิตอยู่ ปรทัตตูปชีวี แปลว่า เปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการที่ผู้อื่นเขาให้ทาน
เปรต๔ชนชั้นนี้มี“ปรทัตตูปชีวีเปรต”เท่านั้นที่มนุษย์จะทำทักษิณาทานอุทิศบุญกุศลส่งให้ได้
ในพุทธกาลผู้ที่รู้จัก“นิชฌามตัณหิกเปรต”ที่เป็นอมนุษย์สิงอยู่ในมนุษย์ระดับท้าวพระยาอยู่เต็มนครราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ คือ“ท่านพระมหาโมคคัลลาน์”!!!การดับขันธปรินิพพานของท่านจึงเกี่ยวข้องกับการเปิดเผยสถานภาพร่างทรงเปรต(มนุสสเปโต)เหล่านี้เองในพุทธกาลมีคำพูดเปรียบเปรยว่า กรุงราชคฤห์แม้ตามปกติก็มากไปด้วยอมนุษย์”ก็ด้วยเหตุนี้เช่นกัน(นครเวสาลีก็เคยเจอในภัย๓ประการ)
วิธีสังเกตแมลง แมงป่อง ตะขาบ หนอน ฯลฯ(แมลงจำพวกปรสิต) เกิดจากซากและกลิ่นของเปรต(ซากและกลิ่นของเปรตคือความอยากความโลภที่สร้างมลภาวะให้ระบบนิเวศน์)สถานที่หรือเมืองใดมีแมลง(จำพวกปรสิต)เยอะ(มนุษย์กึ่ง)เปรตจะเยอะด้วย
ภัย๓ประการคือ
๑.ทุพภิกขภัย(ข้าวยากหมากแพงเพราะมีการกักตุนสินค้า)
๒.โรคันตรภัย(โรคอันตรายระบาดคร่าชีวิตผู้คนเนื่องจากระบบสาธารณสุขมีปัญหา)
ทั้ง๒ภัยนี้เกิดจาก 
๓.อมนุษยภัย(อมนุษย์ที่สิงอยู่ในมนุษย์ระดับท้าวพระยาในพระนครเบียดเบียน) 
นอกจากเป็นต้นเหตุของภัยทั้ง๓ประการแล้ว ยังเป็นต้นเหตุของความพิโรธของพญานาค” “โลกร้อน”และ“ภัยธรรมชาติ ที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงและเกิดถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันนี้ด้วย! อาณาจักรต่างๆที่ พญานาคล่มเมืองระบุว่าเกิดจากกษัตริย์หรือนักปกครองอาณาจักรนั้นๆไม่ตั้งอยู่ในธรรม ทำให้พญานาคเกิดความพิโรทำลายอาณาจักรนั้นทิ้ง ก็เพราะความไม่ตั้งอยู่ในธรรม(ส่วนรวม)ของบรรดานักปกครองที่เป็นอมนุษย์”เหล่านี้เอง(แล้วปัจุบันล่ะ!?)นอกจากก่อให้เกิดภัยธรรมชาติแล้ว อมนุษย์ยังสร้างความแตกแยก(ในสังคม)ด้วย

อมนุษยภัยเป็นต้นเหตุจึงต้องกำจัดให้สิ้น(แผ่นดินจะได้สูงขึ้น)

สัตว์นรกในด้านสังคมศาสตร์


สัตว์นรกในด้านสังคมศาสตร์
นรก คือ ดินแดนแห่งความเร่าร้อน เร่งรีบ แออัดไปด้วยสัตว์นรก(ผู้อยู่อาศัย) เต็มไปด้วยแสงสีจากเปลวเพลิงและกลุ่มควันจากมลภาวะที่ทำลายและกัดกินร่างของสัตว์นรกจากทั้งภายนอกและภายใน  โดยมีการแบ่งระดับความรุนแรง(เขตปกครอง)จากเบาไปหนัก เป็น๓ส่วนคือ
    ๑.ยมโลก-นรกบ้านนอก(ส่วนท้องถิ่น)/(ความเป็นเปรต๑๐๐%)
    ๒.อุสสุทธนรก-นรกในเมือง(ส่วนภูมิภาค)/(ความเป็นสัตว์นรก๕๐%เปรต๕๐%)
    ๓.มหานรก-นรกเมืองหลวง(ส่วนกลาง)/(ความเป็นสัตว์นรก๑๐๐%)

๑.ยมโลก-นรกบ้านนอก(ส่วนท้องถิ่น/ประตูสู่เปรตโลก/สังคมอันเบาบางจากทุกข์)
กลีบนอกของดอกไม้นรก มีทั้งหมด๑๐เขต ดังนี้
๑.โลหกุมภีนรก(Lohakumbhi) เป็นหม้อเหล็ก(ปัจจุบันแปลว่า กระทะทองแดง)ขนาดใหญ่เต็มไปด้วยน้ำทองแดงเดือดพล่านสัตว์นรกจะถูกต้มเคี่ยวตลอดเวลา จนสำลักน้ำทองแดง ขึ้นจากหม้อเหล็กนั้นไม่ได้ เพราะนายนิรบาลจะกันไว้ไม่ให้ขึ้น แต่สามารถต่อรองได้หรือเรียกร้องได้(เพราะนายนิรยบาลก็คือ สัตว์นรกที่มีบุญ เป็นเวมานิกเปรตไม่ก็มหิทธิกาเปรต หัวอกเดียวกันคงเข้าใจ แต่ถ้าเป็นโจทก์กันก็ไม่แน่ อาจถีบส่งกันลงไปเลยทีเดียว) ปัจจุบันอยากเห็นนรกขุมนี้ให้ไปดูบรรดาพนักงานบริษัททั้งหลายที่ต่างก็แหวกว่าย(เวียนว่าย)อุดอู้อยู่ในห้องทำงาน/สำนักงานสี่เหลี่ยมแคบๆ นั่งฟังเจ้านาย(นายนิรยบาล)ก่นด่าโขกสับสารพัด ไม่รู้ว่าจะเครียดจนสำลักน้ำทองแดง(เหล้า)ตายวันไหน จะออกไปไหนทีก็แสนลำบาก ลาป่วย ลากิจก็แสนจะยาก(แต่ก็ยังลาได้) ต้องทนทำงาน(รับกรรม)จนกว่าจะเกษียณ(สัตว์นรกไม่มีการเกษียณก่อนกำหนด ต้องอยู่จนกว่าจะเกษียณอายุ(หมดกรรม)กันไปข้าง แต่ในยมโลกนี้กรรมค่อนข้างเบาบางมาก(ระบบ)ไม่ยุ่งยากอย่างในอุสสุทธนรกและมหานรกที่(ระบบ)จะซับซ้อนและยุ่งยากกว่านี้)จะว่าไประบบการศึกษาในบางสถาบันก็เป็นแบบนี้(นั่งเรียน(ยัด)กันอยู่ในห้องแคบๆห้องละกว่าครึ่งร้อย มีนิรยบาล(อาจารย์!?)นั่งเฝ้ากดดันให้เด็กเครียดทั้งยามปกติและพรีเซนต์)โอ!นรกในการทำงาน(เรียน)
ในยมโลกนี้สัตว์นรกยังมีโอกาสได้รับส่วนบุญบ้าง ถ้าตาสว่างไวอาจพ้นจาก(สังคม)ยมโลกเร็วขึ้น
๒.สิมพลีนรก(Simbli) เต็มไปด้วยป่างิ้วนรก  มีหนามแหลมคมเป็นกรดยาวประมาณ๑๖องคุลีนรกแห่งการคบชู้ (พวกชอบนอกใจแล้วโกหก)นายนิรยบาลจะคอยต้อนให้สัตว์นรกปีนขึ้นไปบนต้นงิ้วที่ไม่มีหนาม แต่เมื่อกายของสัตว์นรกแนบกับต้นงิ้ว จะมีกลไกดีดให้หนามยาวประมาณ๑๖องคุลีพุ่งออกมาทิ่มสัตว์นรก(ต้นงิ้วที่ไม่มีหนามเพื่อหลอกให้ปีน เกิดจากการโกหกหลอกลวงเพื่อนอกใจของตัวสัตว์นรกเอง) แต่ไม่ปีนก็ไม่ได้เพราะจะมีสุนัขนรก(เกิดจากความชอบลอบกัดของตัวสัตว์นรก)ออกมากัด แต่ถ้าปีนขึ้นไปจะเจอกับกาปากเหล็ก(เกิดจากความชอบฉวยโอกาสของตัวสัตว์นรก)
๓.อสินขนรก(Asinakha) สัตว์นรกจะมีเล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว(คม)เป็นหอกดาบ ศาสตราวุธคล้ายปัพพตังคาเปรต สัตว์นรกเหล่านี้เหมือนคนบ้าวิกลจริต บ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนและสัตว์นรกอื่นที่อยู่ใกล้เคียงกินเป็นอาหารตลอดเวลา(สร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและสังคมตลอดเวลา)นายนิรยบาลก็ปล่อยไปจะทำอะไรก็ทำ สัตว์นรกไม่กล้าแตะอยู่แล้ว ยืนคุมอย่างเดียว สบายไป(นายนิรยบาลยังเอาอยู่ อาจห้ามไม่ให้ตีกันบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าไม่ทำหน้าที่)
๔.ตามโพทกนรก(Tamabodhaka) มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงร้อนระอุอยู่ตลอดเวลาสัตว์นรกคอแห้งถูกนายนิรยบาลกรอกปากด้วยน้ำทองแดง ให้ไหม้ยันไส้(ทำลายตับ ไต และอวัยวะภายในอื่นๆ) ปัจจุบันอยากเห็นนรกขุมนี้ให้ไปดูตามผับ ตามเธค แถมนายนิรบาลก็ไม่ต้องเมื่อย เพราะสัตว์นรกกรอกน้ำทองแดงเองอีกต่างหาก นายนิรยบาลแค่ถือขวดน้ำทองแดงรอเฉยๆ มันหิวเมื่อไหร่ก็เรียก(ไปเสิร์ฟ)เอง
๕.อโยคุลนรก(Ayogula) เต็มไปด้วยอาหารโอชะ ดูน่ากิน เวลาสัตว์นรกหิวนายนิรยบาลจะประเคน(เสิร์ฟ)อาหารเหล่านั้นให้สัตว์นรกผู้หิวโหยถึงปาก แต่เมื่อสัตว์นรกกลืนอาหารเหล่านั้นลงไป มันจะกลายเป็นก้อนเหล็กแดงร้อนระอุ(ก้อนมะเร็ง) เผาผลาญทำลายตับ ไต และอวัยวะภายในอื่นๆ ปัจจุบันอยากเห็นนรกขุมนี้ให้ไปดูตามร้านค้า หรือ ศูนย์รับบริจาค ที่มีการปลอมปนอาหารเสีย หมดอายุบูดเน่า  รวมถึงการใช้สารเคมีอันตรายบางชนิดทำให้อาหารดูน่ากิน เพื่อเอากำไร(หรือเอาหน้า)
๖.ปิสสกปัพพตนรก(Pissakapabbata) มีภูเขายนต์ลูกใหญ่(ทำงานระบบอัตโนมัติ)อยู่ทุกทิศทาง เคลื่อนที่ไม่หยุดหย่อน กลิ้งไปมาบดขยี้เหล่าสัตว์นรกแออัดอยู่ภายในให้บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียดจนตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก สัตว์นรกจะถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนหมดกรรมของตน ปัจจุบันอยากเห็นนรกขุมนี้ให้ไปดูช่วงเวลาเร่งรีบเช้า-เย็นบนรถประจำทาง กระเป๋ารถ(นายนิรยบาล)ก็ว่า ชิด ชิดใน ชิดเข้าไป ชิดกันซะจนจะรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้แล้ว ก็ยังจะให้ชิดอยู่นั่น กระเป๋ารถก็เห็นนะแต่ไม่สน(ยิ่งวันไหนฝนตกด้วยละก็ข้างนอกเย็น คนนั่งเย็น แต่คนยืนจะตาย ทั้งร้อน ทั้งอบ แล้วไหนจะมลภาวะในอากาศ(กลิ่น)อีก โอ!พระพุทธเจ้าช่วย)
๗.ธุสนรก(Dhusa) สระมีน้ำใสสะอาด สัตว์นรกที่มีความกระหายน้ำมากจะดื่มกินเข้าไป แต่น้ำนั้นกลายเป็นแกลบ เป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและลำไส้ น้ำ(ที่ดู)ใสสะอาดนี้ ก็คือ บรรดาเครื่องบริโภคที่ปนเปื้อนหรือถูกปลอมปนทั้งหลาย ที่ผู้ค้า(นายนิรยบาล)นำมาขายเพื่อหวังผลกำไร
๘.สีตลนรก(Sitala) เต็มไปด้วยน้ำแข็งและลมเย็นยะเยือกสัตว์นรกที่มาเกิดจะสูดเอาอากาศเข้าไป อากาศนั้นจะจับตัวเป็นน้ำแข็งในร่างกายแล้วก็จะฟื้นขึ้นมาก็จะสูดเอาอากาศเข้าอีกเรื่อยไปจนหมดกรรมของตน(ก็ที่หนาวตายกันนั่นแหละ/ทนหนาวในห้องแอร์ก็น่าจะใช่)
๙.สุนัขนรก(Sunakha) นรกนี้เป็นนรกที่เต็มไปด้วยการลอบกัด นรกนี้มีสุนัขนรก ซึ่งมี 5 พวกคือ หมานรกดำ หมานรกเหลือง หมานรกแดง นายนิรยบาลจะปล่อยให้หมานรกเหล่านี้ไล่ขบกัด ตรงลูกตา ปากและส่วนต่างๆ ได้รับทุกขเวทนาจากผลกรรมชั่วทางวาจา(สุนัขนรกเกิดจากความชอบลอบกัดของตัวสัตว์นรก)
๑๐.ยันตปาสาณนรก(Yantapanasan) ภูเขายนต์๒ลูก(กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม)เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา(แบบเครื่องบดปลาหมึก) สัตว์นรกจะถูกภูเขาบีบกระแทก(กฎหมายกดดัน)รีดจนเละ ภูเขายนต์ทั้ง๒ลูกนี้นายนิรยบาลจะเป็นผู้บังคับควบคุมให้)เคลื่อนกระทบกันเพื่อบด(กดดัน)สัตว์นรก
๒.อุสสุทธนรก-นรกในเมือง(ส่วนภูมิภาค/สังคมอันกัดกินตนเองจากภายใน)
        กลีบในของดอกไม้นรก มีทั้งหมด๔เขต ดังนี้
๑.คูถนรก(Gutha) สัตว์นรกจะจมอยู่ในบ่ออุจจาระเน่า(อุจจาระเน่า คือ กฎหมายที่ไม่ได้ความ ไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงในสังคม ทำให้สังคมเดือดร้อน) ในบ่อจะมีหนอนปากเหล็ก เข้าไปกัดกินทั้งเนื้อและกระดูกตลอดจนอวัยวะภายในของสัตว์นรกทั้งหมด(หนอนปากเหล็ก คือ อาหารเสีย อาหารหมดอายุ อาหารปนเปื้อน)นายนิรยบาลจะแจกจ่าย(ขาย/บริจาค)หนอนปากเหล็กให้สัตว์นรกทุกตน(แต่มากน้อยไม่เท่ากัน)
๒.กุกกุลนรก(Kukkula) มีขี้เถ้าร้อนระอุปะปนในอากาศ สัตว์นรกจะสูดเอาขี้เถ้าร้อนระอุในอากาศนั้นเข้าไปทำลาย(ปอด)อวัยวะภายในจนร่างกายไหม้ยับย่อยละเอียดเป็นจุณ(ขี้เถ้าร้อนระอุปะปนในอากาศ คือ มลภาวะทางอากาศ เช่น ฝุ่นละอองและหมอกควันในอากาศ หรือ มลพิษทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ จากโรงงาน จากท่อไอเสียรถฯลฯ) นายนิรยบาลมีสิทธิพิเศษ(เจ้าพนักงาน/ข้าราชการนรก)ไม่เป็นไร
๓.อสิปัตตวันนรก(Asipattavana) ป่าไม้ที่มีผลสุกน่ากินเต็มต้น นายนิรยบาลจะปล่อยให้สัตว์นรกปีนเก็บผลไม้ได้เต็มที่(กินแบบบุฟเฟ่ต์) แต่เมื่อสัตว์นรกปีนเก็บผลไม้ หรือกินผลไม้ ระบบเซนเซอร์และกลไกในต้นไม้จะทำงานเปลี่ยนใบและผลเหล่านั้นเป็นอาวุธยนต์ต่างเข้าทำลายสัตว์นรกทั้งภายนอก(พวกที่ปีนเก็บผลไม้)และภายใน(พวกกินผลไม้) ต้นไม้ในนรกขุมนี้จะมีระบบคล้ายกับ งิ้วนรกใน สิมพลีนรก(คือ โกหก หลอกลวงว่าไม่มีอะไร เพื่อให้สัตว์นรกปีนขึ้นไป) ปัจจุบันก็ยังมี คือ พวก(นายนิรยบาล)ที่ชอบหลอกขายอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี จำนวนมหาศาล(ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายในอาหารเพื่อทำให้ดูน่ากิน ถึงจะบอกว่าควบคุมปริมาณแล้วก็เถอะ กินเข้าไปมันก็สะสม ตายอยู่ดี รับกรรมกันไป)
๔.เวตตรณีนรก(Vettarani) แม่น้ำใสน่าอาบว่าย ดื่มกิน เมื่อสัตว์นรกที่มีบาดแผล(จากสุขภาพ/สภาพสังคม)เห็นก็จะรีบวิ่งเข้าหาด้วยหวังว่าจะดับร้อน ดับกระหาย พวกที่กินน้ำจะถูกเผาทำลายจากภายใน พวกที่ลงอาบหรือว่ายน้ำเล่นผิวเนื้อร่างกายจะถูกไฟเผา นายนิรยบาลจะปล่อยให้สัตว์นรกเล่นน้ำกันเต็มที่(สัตว์นรกตนใดไม่ยอมเล่นโดน) คล้ายกับอสิปัตตวันนรก คือ มีสารปนเปื้อนต่างๆในน้ำ ไม่ว่าจะน้ำกิน หรือ น้ำใช้(ดีไม่ดีพวก(นายนิรยบาล)นี้จะเอาน้ำจากขุมนี้ไปเสนอขายตามบ้านด้วย)
๓.มหานรก-นรกเมืองหลวง(ส่วนกลาง/สังคมอันปราศจากการหยุดพัก)
        ช่อดอกหรือศูนย์กลางนรก มีทั้งหมด๘เขต ดังนี้
๑. สัญชีวะ(Sanjiva) (เจริญ)รุ่งเรืองด้วยเปลวเพลิง สัตว์นรกขุมนี้จะถูกเหล่าอาวุธยนต์(ทำงานระบบอัตโนมัติ)ไล่ตามตลอดเวลา  หากสัตว์นรกพลาดท่าเสียทีจะถูกเหล่าอาวุธยนต์ไล่ตัดร่างจนตาย แต่ร่างที่ถูกตัดนั้น จะฟื้นตัวคืนสภาพเดิมได้อย่างรวดเร็วดุจมีร่างเป็น กายสิทธิ์ สัตว์นรกขุมนี้แม้จะถูกเหล่าอาวุธยนต์(กฎหมาย)ตัดร่าง(เอาผิด)จนตาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฟื้นตัวคืนสภาพเดิมได้อย่างรวดเร็ว เหมือนไม่เคยถูกเหล่าอาวุธยนต์ตัดร่าง(ไม่เคยถูกกฎหมายเอาผิด)มาก่อน
๒.กาลสุตตะ(Kalsutta) ระหว่างที่สัตว์นรกในขุมนี้วิ่งไปมาเหมือนไร้สติจะถูกเส้นด้ายสีดำ(แสงเลเซอร์สีดำ)ที่ไม่ทราบที่มา ตีเส้นบนร่างกายและร่างกายจะถูกตัดตามเส้นนั้นเป็นท่อนๆเหมือนท่อนไม้ เส้นด้ายดำ(อิทธิพลมืด)นี้ นอกจากไม่ทราบที่มาแล้วยังไม่อาจทราบได้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่(แต่มาเป็นระยะๆ) สัตว์นรกที่ไม่ทราบชะตากรรมจะเดินไปสะดุดด้ายดำ(อิทธิพลมืด)ให้ขาขาดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
๓.สังฆาฏะ(Sanghata) ห้อมล้อมไปด้วยภูเขาเหล็กลูกมหึมามีไฟลุกท่วมคอยกลิ้งเข้ากระทบกระแทกสัตว์นรกจนเหลวเป็นวุ้นเลือด (พวกชนแล้วหนี กฎหมายทำอะไรไม่ได้)
๔. โรรุวะ(Roruva) เต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องของสัตว์นรกที่ถูกรมด้วยควันแก๊สพิษ(มลพิษปนเปื้อนจำนวนมหาศาล)ในอากาศ เมื่อสูดอากาศเข้าไปอวัยวะภายในจะถูกทำลาย สัตว์นรกจะช๊อคจากการสูดอากาศพิษนี้จนตายหรือหมดสติ แล้วจะฟื้นขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ(ไม่มีกฎหมายคุ้มครอง ร้องไปก็เท่านั้น)
๕.มหาโรรุวะ(Maharoruva) เต็มไปด้วยเสียงแหกปากร้องของสัตว์นรกที่ถูกรมด้วยควันแก๊สพิษ(มลพิษปนเปื้อนจำนวนอภิมหาศาล)ในอากาศ นรกขุมนี้มีเสียงร้องดังยิ่งกว่าในโรรุวะเมื่อสูดอากาศพิษเข้าไปอวัยวะภายในจะถูกทำลาย แต่สัตว์นรกจะไม่ช๊อค ไม่หมดสติ และไม่ตาย!!! จึงต้องแหกปากร้องให้ลั่นเพราะทรมานเกินขีดจำกัดไปแล้วแต่ยังไม่หยุดทรมาน(นรกขุมนี้นอกจากไม่มีกฎหมายคุ้มครองแล้ว ยังร้องเรียนอะไรไม่ได้ด้วย! ต้องทนกันไป)
๖.ตาปนะ(Tapana) นรกขุมนี้สัตว์นรกจะต้องนั่งติดตรึงในหอกหลาวเหล็กแดงเพลิง ขยับไม่ได้เพราะถูกหอกหลาวตรึง แขน ขา สันหลัง ร่างกายแทบทุกส่วน ถ้าว่ากันจริงๆสัตว์นรกขุมนี้เป็นพวกขาดสารอาหาร(กินแต่พวกอาหารสังเคราะห์ กับ อาหารสำเร็จรูป) หมกมุ่นหน้าคอมฯ ไม่ยอมกินยอมนอน ไม่ค่อยจะกินอะไรที่มีประโยชน์ เน้นกินเร็วและสะดวกเข้าว่า(อย่าลืมว่านรก คือ สังคมแห่งการเร่งรีบ) นรกขุมนี้ปัจจุบัน น่าจะตรงกับโรค "คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม" (computer vision syndrome) หรือ"โรคซีวีเอส"คือ คนที่นั่งหลังแข็งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเกิน๒-๓ชั่วโมง(บ้าเกมคอมฯ บ้าแชท) มักจะมีอาการปวดตา แสบตา ตามัว  ปวดคอ และบ่อยครั้งที่จะมีอาการปวดหัวร่วมด้วย อาการทางสายตาเหล่านี้เกิดจากการจ้องดูข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป รวมถึงอาการปวดหลัง(โดนตรึง)จากการนั่งที่ผิดท่า พวกที่นั่งเล่นเกมจนไหลตายหน้าคอมฯก็ใช่(ตายแล้วกฎหมายไม่คุ้มครองอีกต่างหาก)
๗.มหาตาปนะ(Mahatapana) นั่งทรมานนานยิ่งกว่าในตาปนะ พักก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้(คล้ายในมหาโรรุวะ) ได้แต่แหกปากร้องดังๆ(นอกจากกฎหมายไม่คุ้มครองแล้ว ยังร้องเรียนอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกัน)
๘.อวีจิ(อเวจี)(Avici) เต็มไปด้วยความเร่าร้อน(ปัญหาชีวิต)นาๆประการไม่ได้หยุดหย่อน สัตว์นรกเหล่านี้จะทุกข์ยากเดือดร้อนตลอดชีวิต จะหนีหรือแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้จนกว่าจะหมดกรรม(ตาย)
หมายเหตุ นายนิรยบาลนั้นจะมีอยู่ในยมโลกและอุสสุทธนรกเท่านั้น โดยมี พญายมราชเป็นประธานาธิบดีของเหล่านิรยบาล(ท่านเป็นทั้งเวมานิกเปรตและมหิทธิกาเปรต ควบ๒ตำแหน่ง เวลางานก็มาทำงาน เวลาอยู่วิมานก็ต้องกรอกน้ำทองแดง) ส่วนในมหานรกนั้นมีเสรีภาพเต็มที่ แบบ   อนาคีร์(Anarchy) หมายถึง แนวคิดการเมืองแบบไร้ผู้นำ ไม่มีรัฐบาล(นรก)คอยกำกับควบคุมดูแล สัตว์นรกทุกตนมีสิทธิเท่าเทียมกัน  ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะใดๆ ไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่มีการแบ่งชายแบ่งหญิง ไม่มีการแบ่งเด็กแบ่งผู้ใหญ่ รวมถึงไม่มีการลำดับอาวุโส สัตว์นรกทุกตนจึงอยู่กันเองโดยไร้ผู้นำ สัตว์นรกทุกตนมีสิทธิ์ถูกเผาผลาญโดยไฟนรกอย่างเท่าเทียมกัน ในมหานรกนอกจากต้องอยู่ใช้กรรมจนกว่าจะหมดกรรม(เกษียณอายุ)แล้ว ยังไม่มีสามารถลดโทษด้วย เพราะ ไม่มีนายนิรยบาลให้ต่อรองได้หรือเรียกร้องได้(มีแต่สัตว์นรกล้วนๆ)
สาเหตุที่นายนิรยบาลไม่เป็นอันตรายจากไฟนรกและการลงทัณฑ์ต่างๆ เพราะนายนิรยบาลเป็นพวกเวมานิกเปรตและมหิทธิกาเปรต เป็นพวกอยู่เหนือกฎ(หมาย)นรกทุกประการ(มีสิทธิพิเศษ)
แต่นายนิรยบาลจะกรอก(ดื่ม)น้ำทองแดงสลับกับลงทัณฑ์สัตว์นรก ช่วงหยุดพักจะอยู่ในวิมาน พญายมราชและนายนิรยบาลจะอาศัยอยู่ในเขตยมโลก ส่วนในอุสสุทธนรกจะมีแต่นายนิรยบาล