เปรตในด้านสังคมศาสตร์
โดยทั่วไปเปรตมีลักษณะทางกายภาพ คือ สูงเท่าต้นตาล ท้องใหญ่เท่าภูเขาลำคอเรียว ปากเล็กเท่ารูเข็ม(พวกที่ปากเท่ารูเข็ม คือ พวกที่ไม่สามารถกินอาหารปกติตามธรรมชาติได้ กินแต่พวกอาหารสังเคราะห์ อาหารสำเร็จรูป) เสียงร้องแหลมยาวไม่สามารถฟังเป็นภาษาได้(คำพูดออกจากปากแต่ละคำมีแต่ศัพท์แสงวิชาเกิน ชาวบ้านคนธรรมดาฟังเหมือนจะรู้เรื่องแต่ก็ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ) อดอยากหิวโหยโดยความละโมบหิวกระหาย เปรตบางชนิดมีความรู้สึกว่าตนยากไร้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกมั่งคั่ง เป็นความรู้สึกขัดแย้งที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันเปรตบางชนิดเต็มไปด้วยความอยาก(อยากมี อยากได้ อยากเป็น)กินทั้งสิ่งที่ใช่และไม่ใช่อาหารเป็นพวกเอาปัญญารับใช้สนองความอยากของตน(หรือกลุ่มของตน)
๑.วันตสาตะ(VANTASATA)-ตระกูลเปรตที่อยู่ได้ด้วยเศษอาหารที่เขาเหลือคายทิ้ง(หลอกขายอาหารหมดอายุ)
๒.กุณปขาทา(KUNAPAKHADA)-ตระกูลเปรตที่หากินอยู่กับซากสัตว์ต่างๆ“เวตาล(vetala)”คือ เปรตที่เป็นใหญ่อยู่ในตระกูลกุณปขาทา โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของเวตาล คือ เวตาลนั้นเป็นวิญญาณร้ายที่วนเวียนอยู่ตามสุสาน เป็นปีศาจของบรรพชนที่ลูกหลานไม่ยอมทำพิธีศพให้(รวมถึงบรรดาอาจารย์ที่หวงวิชา)อาศัยในซากศพ(ชื่อ)ผู้อื่นชอบสิงอยู่ในป่าช้า(หากินอยู่กับซากสัตว์ต่างๆ)เวตาลมักจะปรากฏรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่มือและเท้าหันกลับไปทางด้านหลัง นัยน์ตาเป็นสีลานแกมเขียว มีเส้นผมตั้งชันทั้งศีรษะ มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายถือหอยสังข์ ขณะเมื่อมาปรากฏตัวจะนุ่งห่มเสื้อผ้าสีเขียวทั้งชุด นั่งมาบนเสลี่ยง บางคราวก็ขี่ม้า มีภูตบริวาร(บอร์ดี้การ์ด)ถือคบเพลิงแวดล้อมโดยรอบ และส่งเสียงโห่ร้องกึกก้อง เวตาลยังทำให้ผู้คนเป็นบ้า ฆ่าเด็ก และแท้งลูก แต่เวตาลยังมีข้อดี คือมันจะคอยดูแลหมู่บ้าน(เขตปกครอง)ของมันเอง(เนื่องจากเวตาลสารถปลุกชีพคนตายได้ ในปัจจุบันเราจึงอาจเห็นเวตาลในคูหาเลือกตั้ง จากรายชื่อของคนที่ตายซักสิบปีหรือหลายสิบปีที่ลุกขึ้นมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเป็น บัตรผีนั่นเอง)เวตาลช่างเจรจา ปากร้าย ปากจัด และเย่อหยิ่ง
๓.คูถขาทา(GUTHAKHADA)-ตระกูลเปรตที่หากินอยู่กับกากอุจจาระ ปัสสาวะ(คล้ายกับวันตสาตะ เจอตามกองขยะ)
๔.อัคคิชาลขาทา(AGGIJALAKHADA)-เปรตที่กินข้าวเปลือกไฟแดงเป็นอาหาร(รวมถึงเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆด้วย)มีปากอยู่เหนือกระหม่อม(หัว)มักอาศัยตามโรงสีข้าวเพราะชอบผูกขาดการค้าการส่งออกข้าว(โก่งและโกงราคา)โดยตรง(ปัจจุบันไม่ได้กินแค่ข้าวเปลือกไฟแดงและไม่ได้มีแค่ตามโรงสีข้าว)
๕.ตัณหชิตา(TANHAJITA)-พวกเปรตที่สูงเท่าต้นตาล ตัวผอม พุงโรก้นแฟบ ขอส่วนบุญมนุษย์บ่อยที่สุด!
๖.สุนิชฌามก(SUNIJJHAMAKA)-เปรตที่มีฤทธิ์(อำนาจทางการเมืองและอิทธิพล)มาก เพ่งจะเอาของผู้อื่นอย่างไม่ถูกต้องทั้งทางกฎหมาย ศีลธรรม และเหตุผล ตัวดำ(หรือใจดำ)เหมือนอิฐถูกเผาชอบประดับแต่งตัว
๗.สัพพปากะ(SABBAPAKA)-เปรตขี้เรื้อน ตัวสูงเหมือนตัณหชิตาแต่ตัวขาวเหมือนคลุกแป้งไม่สม่ำเสมอ หน้าตาแบนราบเหมือนหน้ากระดาน ขาวโพลนไม่เห็นจมูกปาก เห็นแต่ตาที่แสงเหมือนถ่านที่ลุกแดง
๘.สูจิมุขุ(SUCIMUKHU)-เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม ท้องโตเป็นภูเขา(ต้นตำนาน“ชิงเปรต”ภาคใต้)
๙.ปัพพตังคา(PABBATANGA)-เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขาเล็บมือเล็บเท้าผมและขน(คม)เป็นหอกดาบ ศาสตราวุธ(อำนาจทางการเมืองหรืออิทธิพลทุกรูขุมขน)เวลาเดินศาสตราวุธจะกระทบกันเป็นไฟลุกไหม้(ความเดือดร้อนให้สังคม(รวมถึงตนเอง)จากอิทธิพลทุกรูขุมขน)
๑๐.อชครังคา(AJAGARANGA)-เปรตที่มีร่างกาย(หุ่น)เรียวใหญ่ยาว และลายเหมือนงูเหลือม
๑๑.เวมานิกะ(VEMANIKA)-เปรตตระกูลเศรษฐีที่ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวันแต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน(ข้างขึ้น/ข้างแรม) หรือเสวยทุกข์๑๕วัน และ เสวยสุขในวิมาน๑๕วัน(ราว๑เดือน)เวมานิกเปรตมีแต่ฐานะ(ทางสังคม)แต่ไม่มีอำนาจทางการเมือง(กึ่งหนึ่งเป็นสัตว์นรกถูกลงทัณฑ์กึ่งหนึ่งเป็นข้าราชการนรกด้วย)วิมานอยู่ในป่าหิมพานต์(ข้างๆต้นนารีผล)พวกที่หลอกคนไปค้าประเวณีแล้วมีอาชีพบังหน้า(วิมานของเปรตคือผลจากบุญฤทธิ์กึ่งหนึ่ง(ความขาวสะอาดที่บังหน้า)แยกออกจากมนุษย์ในสังคมยากเหมือนมหิทธิกา)
๑๒.มหิทธิกา(MAHIDDHIKA)-เปรตที่มีฤทธิ์(อิทธิพลและอำนาจทางการเมือง)มากเป็นใหญ่อยู่ในเมืองเปรตในป่าหิมพานต์มีรูปอันงามเสมอด้วยเทพยดามีตำแหน่งหน้าที่ (กึ่งหนึ่งเป็นสัตว์นรกถูกลงทัณฑ์กึ่งหนึ่งเป็นข้าราชการนรกด้วย)เป็นเปรตที่ขี่ช้าง ม้า ไม่ก็นั่งเกวียน(ยานพาหนะประจำตำแหน่ง)มากอำนาจอิทธิพลในการทำให้สังคมส่วนใหญ่เดือดร้อน ชอบอยู่เหนือกฎเกณฑ์ กติกาสังคมทุกรูปแบบ คล้ายโลกันตรนรก(โลกันตร์ มาจาก โลก+อันตระ แปลว่า ระหว่าง คือ ทำตัวอยู่เหนือกฎกติกา(กฏหมาย)ของโลก)
แบ่งได้ ๔ชนชั้น
๑.กาลกัญชกาสูร(KANKANJAKASURA) คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย มีตาและปากอยู่เหนือกระหม่อม(หัว)แบบปู ใจกล้าหน้าแข็งแรง ชอบถือสากและตรี(พกพาอาวุธ)ทุกเวลาและสถานที่ แสดงถึงอำนาจ และความไม่ไว้(วาง)ใจใครตลอดเวลา(ก็พกพาอาวุธตลอด) จอมอสูรราชาของหมู่กาลกัญชกาสูร คือ อสุรินทราหู (หิวจัด กินเดือน กินตะวัน หมายถึง ชอบกำจัดความสว่าง คือปัญญาของผู้คนในสังคม)
๒.ขุปปิปาสิกะ(KHUPPIPASIKA) คือ เปรตที่มีสถานภาพหิว(ขุปปิ)และกระหาย(ปาสิกะ)ไม่สิ้นสุด(เปรตยมโลก)ตามธรรมของร่างกายผิดกับชนชั้นที่๓
๓.นิชฌามตัณหิกะ(NIJJHAMATANHIKA) คือ สถานภาพทางร่างกายไม่หิวโหย แต่จิตใจเต็มไปด้วยความโลภ ไม่รู้จักพอ มักมีแต่ความอยาก(ตัณหิกะ หมายถึง ความอยากที่แผ่ซ่านออกแล้ว)เพ่งจะเอาของผู้อื่นอย่างไม่ถูกต้องทั้งทางกฎหมาย ศีลธรรม และเหตุผล(นิชฌาม,นิชฌาน ตรงกับ เพ่งโดยความโลภ คือ อภิชฌาวิสมโลภะ)
๔.ปรทัตตูปชีวี(PARADATTUPAJIVI) คือ เป็นสถานภาพของเปรตที่อาศัยอยู่ด้วยการขอส่วนบุญของผู้อื่น เป็นที่มาของ“เปรตขอแบ่งบุญ”และ“เปรตขอส่วนบุญ”เพราะ ปร แปลว่า ผู้อื่น ทัตต แปลว่า ให้แล้ว(มาจาก”ทาน”) อุปชีวี แปลว่า การดำรงชีวิตอยู่ ปรทัตตูปชีวี แปลว่า เปรตที่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการที่ผู้อื่นเขาให้ทาน
เปรต๔ชนชั้นนี้มี“ปรทัตตูปชีวีเปรต”เท่านั้นที่มนุษย์จะทำทักษิณาทานอุทิศบุญกุศลส่งให้ได้
ในพุทธกาลผู้ที่รู้จัก“นิชฌามตัณหิกเปรต”ที่เป็นอมนุษย์สิงอยู่ในมนุษย์ระดับท้าวพระยาอยู่เต็มนครราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ คือ“ท่านพระมหาโมคคัลลาน์”!!!การดับขันธปรินิพพานของท่านจึงเกี่ยวข้องกับการเปิดเผยสถานภาพร่างทรงเปรต(มนุสสเปโต)เหล่านี้เองในพุทธกาลมีคำพูดเปรียบเปรยว่า “กรุงราชคฤห์แม้ตามปกติก็มากไปด้วยอมนุษย์”ก็ด้วยเหตุนี้เช่นกัน(นครเวสาลีก็เคยเจอในภัย๓ประการ)
วิธีสังเกตแมลง แมงป่อง ตะขาบ หนอน ฯลฯ(แมลงจำพวกปรสิต) เกิดจากซากและกลิ่นของเปรต(ซากและกลิ่นของเปรตคือความอยากความโลภที่สร้างมลภาวะให้ระบบนิเวศน์)สถานที่หรือเมืองใดมีแมลง(จำพวกปรสิต)เยอะ(มนุษย์กึ่ง)เปรตจะเยอะด้วย
ภัย๓ประการคือ
๑.ทุพภิกขภัย(ข้าวยากหมากแพงเพราะมีการกักตุนสินค้า)
๒.โรคันตรภัย(โรคอันตรายระบาดคร่าชีวิตผู้คนเนื่องจากระบบสาธารณสุขมีปัญหา)
ทั้ง๒ภัยนี้เกิดจาก
๓.อมนุษยภัย(อมนุษย์ที่สิงอยู่ในมนุษย์ระดับท้าวพระยาในพระนครเบียดเบียน)
นอกจากเป็นต้นเหตุของภัยทั้ง๓ประการแล้ว ยังเป็นต้นเหตุของ“ความพิโรธของพญานาค” “โลกร้อน”และ“ภัยธรรมชาติ ที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงและเกิดถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันนี้ด้วย!” อาณาจักรต่างๆที่ พญานาคล่มเมืองระบุว่าเกิดจากกษัตริย์หรือนักปกครองอาณาจักรนั้นๆไม่ตั้งอยู่ในธรรม ทำให้พญานาคเกิดความพิโรทำลายอาณาจักรนั้นทิ้ง ก็เพราะความไม่ตั้งอยู่ในธรรม(ส่วนรวม)ของบรรดานักปกครองที่เป็น“อมนุษย์”เหล่านี้เอง(แล้วปัจุบันล่ะ!?)นอกจากก่อให้เกิดภัยธรรมชาติแล้ว อมนุษย์ยังสร้างความแตกแยก(ในสังคม)ด้วย
อมนุษยภัยเป็นต้นเหตุจึงต้องกำจัดให้สิ้น(แผ่นดินจะได้สูงขึ้น)